กฏหมายเกี่ยวกับภาษีคริปโต มีอะไรบ้าง

คริปโตเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินและการลงทุนในประเทศไทย ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดคริปโต รัฐบาลไทยจึงได้ออกกฎหมายและระเบียบต่างๆ เพื่อกำกับดูแลและจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี บทความนี้จะอธิบายถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับภาษีคริปโตในประเทศไทย รวมถึงวิธีการคำนวณภาษีและหน้าที่ของผู้เสียภาษี

กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องกับภาษีคริปโต

พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561
พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561

1. พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561

พระราชกำหนดฉบับนี้เป็นกฎหมายหลักที่กำหนดการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเงินได้พึงประเมินและการหักภาษี ณ ที่จ่าย

มาตราสำคัญ:

  1. มาตรา 3: เพิ่มเติมบทนิยามของ “คริปโทเคอร์เรนซี” และ “โทเคนดิจิทัล” ในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
  2. มาตรา 4: แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 40(4) แห่งประมวลรัษฎากร โดยเพิ่มเติมให้ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัล และผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้
  3. มาตรา 5: แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 50(2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยกำหนดให้การจ่ายผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15

2. ประมวลรัษฎากร

ประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายหลักที่กำหนดการจัดเก็บภาษีในประเทศไทย โดยมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษีคริปโตดังนี้:

มาตราสำคัญ:

  1. มาตรา 40: กำหนดประเภทของเงินได้พึงประเมิน โดยรายได้จากคริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลถูกจัดอยู่ในมาตรา 40(4)
  2. มาตรา 48: กำหนดวิธีการคำนวณเงินได้พึงประเมินประเภทต่างๆ
  3. มาตรา 50: กำหนดหลักเกณฑ์การหักภาษี ณ ที่จ่าย
  4. มาตรา 65: กำหนดวิธีการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

ประเภทของรายได้จากคริปโตที่ต้องเสียภาษี

ตามกฎหมายภาษีของไทย รายได้จากคริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลที่ต้องเสียภาษีมีดังนี้:

Cryptocurrency
Cryptocurrency
  1. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัล (เช่น เงินปันผลจากโทเคนที่ให้สิทธิในการรับส่วนแบ่งกำไร)
  2. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล (เช่น กำไรจากการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี)
  3. รายได้จากการขุดคริปโตเคอร์เรนซี (mining)
  4. รายได้จากการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี (เช่น ค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าซื้อขายคริปโต)

วิธีการคำนวณภาษีคริปโต

สำหรับบุคคลธรรมดา

  1. กำไรจากการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี:
    • คำนวณจากราคาขาย ลบด้วยต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
    • นำกำไรมารวมกับเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นๆ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า
  2. เงินปันผลหรือผลประโยชน์จากการถือครองโทเคนดิจิทัล:
    • นำรายได้มารวมกับเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นๆ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า
  3. รายได้จากการขุดคริปโตเคอร์เรนซี:
    • นำรายได้มารวมกับเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นๆ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า

สำหรับนิติบุคคล

  1. กำไรจากการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี:
    • คำนวณกำไรสุทธิจากการประกอบกิจการ โดยนำรายได้จากการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีมารวมกับรายได้อื่นๆ และหักด้วยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
    • คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ
  2. รายได้จากการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี:
    • นำรายได้มารวมกับรายได้อื่นๆ เพื่อคำนวณกำไรสุทธิและภาษีเงินได้นิติบุคคล
วิธีการคำนวณภาษีคริปโต
วิธีการคำนวณภาษีคริปโต

การหักภาษี ณ ที่จ่าย

ตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 กำหนดให้มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับการจ่ายผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลในอัตราร้อยละ 15

ตัวอย่าง:

  • บริษัท A จ่ายเงินปันผลจากโทเคนดิจิทัลให้กับนาย B จำนวน 100,000 บาท
  • บริษัท A ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% คือ 15,000 บาท
  • นาย B จะได้รับเงินปันผลสุทธิ 85,000 บาท

หน้าที่ของผู้เสียภาษี

  1. การยื่นแบบแสดงรายการ:
    • บุคคลธรรมดาต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
    • นิติบุคคลต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วันนับจากวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
  2. การเก็บรักษาหลักฐาน:
    • ผู้เสียภาษีต้องเก็บรักษาหลักฐานการซื้อขาย การโอน และการได้มาซึ่งคริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี
  3. การรายงานธุรกรรม:
    • ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่รายงานธุรกรรมที่มีมูลค่าตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไปต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

ความท้าทายในการเสียภาษีคริปโต

  1. การติดตามและบันทึกธุรกรรม:
    • การซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีอาจเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีจำนวนมาก ทำให้ยากต่อการติดตามและบันทึกทุกธุรกรรม
    • แนวทางแก้ไข: ใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันสำหรับติดตามการซื้อขายคริปโตโดยเฉพาะ
  2. การกำหนดมูลค่า:
    • ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ทำให้ยากต่อการกำหนดมูลค่าที่แท้จริง ณ เวลาที่ทำธุรกรรม
    • แนวทางแก้ไข: ใช้ราคาเฉลี่ยจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาต
  3. การพิสูจน์แหล่งที่มาของเงิน:
    • อาจเป็นเรื่องยากในการพิสูจน์แหล่งที่มาของคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้มาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะหากได้มาจากการขุด (mining) หรือการแลกเปลี่ยนแบบ peer-to-peer
    • แนวทางแก้ไข: เก็บรักษาหลักฐานการได้มาของคริปโตเคอร์เรนซีอย่างละเอียด รวมถึงบันทึกการทำธุรกรรมทุกครั้ง
  4. การจัดการกับการขาดทุน:
    • ยังไม่มีความชัดเจนว่าการขาดทุนจากการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้หรือไม่ และอย่างไร
    • แนวทางแก้ไข: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อหาวิธีการจัดการกับการขาดทุนที่เหมาะสมตามกฎหมายปัจจุบัน
  5. การปรับตัวตามกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง:
    • กฎระเบียบเกี่ยวกับภาษีคริปโตเคอร์เรนซีอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทำให้ผู้เทรดต้องปรับตัวตามอยู่เสมอ
    • แนวทางแก้ไข: ติดตามข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเมื่อมีข้อสงสัย

การวางแผนภาษีสำหรับนักลงทุนคริปโต

การวางแผนภาษีที่ดีสามารถช่วยให้นักลงทุนคริปโตประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ต่อไปนี้เป็นเทคนิคและกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรพิจารณา:

การเสียภาษีคริปโตเคอเรนซี่
การเสียภาษีคริปโตเคอเรนซี่
  1. การใช้วิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO – First In, First Out):
    • วิธีนี้เหมาะสำหรับคริปโตที่ถือครองเป็นเวลานาน เนื่องจากต้นทุนจะต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ทำให้เสียภาษีจากกำไรส่วนต่างน้อยลง
    • ตัวอย่าง: ซื้อ Bitcoin 1 เหรียญในราคา 100,000 บาทเมื่อ 2 ปีก่อน และซื้ออีก 1 เหรียญในราคา 500,000 บาทเมื่อ 6 เดือนก่อน หากขาย 1 เหรียญในราคา 1,000,000 บาท การใช้วิธี FIFO จะทำให้มีกำไร 900,000 บาท (1,000,000 – 100,000) แทนที่จะเป็น 500,000 บาท
  2. การแยกบัญชีการลงทุน:
    • แยกบัญชีการลงทุนระหว่างการลงทุนระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้สามารถจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • การลงทุนระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกว่าการลงทุนระยะสั้น
  3. การใช้ประโยชน์จากการบริจาค:
    • การบริจาคคริปโตเคอร์เรนซีให้กับองค์กรการกุศลที่ได้รับการรับรองสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
    • ตัวอย่าง: บริจาค Bitcoin มูลค่า 100,000 บาทให้กับมูลนิธิที่ได้รับการรับรอง สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
  4. การใช้ประโยชน์จากผลขาดทุน:
    • แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนในการนำผลขาดทุนจากการเทรดคริปโตมาหักลดหย่อนภาษี แต่อาจพิจารณาขายคริปโตที่ขาดทุนเพื่อนำมาหักล้างกับกำไรจากการขายคริปโตอื่นๆ
    • ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีก่อนใช้กลยุทธ์นี้
  5. การพิจารณาการลงทุนผ่านนิติบุคคล:
    • ในบางกรณี การลงทุนในคริปโตผ่านบริษัทอาจมีข้อได้เปรียบทางภาษีมากกว่าการลงทุนในนามบุคคลธรรมดา
    • ตัวอย่าง: บริษัทสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้มากกว่าบุคคลธรรมดา
  6. การวางแผนการขายคริปโต:
    • พิจารณาทยอยขายคริปโตเพื่อกระจายภาระภาษีออกไปหลายปี แทนที่จะขายครั้งเดียวในปริมาณมาก
    • ตัวอย่าง: แทนที่จะขาย Bitcoin 10 เหรียญในปีเดียว อาจพิจารณาขายปีละ 2 เหรียญเป็นเวลา 5 ปี เพื่อให้รายได้กระจายไปหลายปีและอาจทำให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำลง

การปฏิบัติตามกฎหมายและการรายงานภาษี

การปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนคริปโต ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่ควรปฏิบัติ:

กฎหมายและการรายงานภาษี
กฎหมายและการรายงานภาษี
  1. การเก็บบันทึกธุรกรรม:
    • บันทึกรายละเอียดของทุกธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี รวมถึงวันที่ซื้อ ขาย หรือแลกเปลี่ยน ราคา และจำนวน
    • เก็บรักษาเอกสารยืนยันการทำธุรกรรม เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือรายงานจากแพลตฟอร์มซื้อขาย
  2. การคำนวณกำไรขาดทุน:
    • คำนวณกำไรหรือขาดทุนจากการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีอย่างละเอียด
    • ใช้วิธีการคำนวณที่สอดคล้องกับกฎหมายภาษี เช่น วิธี FIFO
  3. การรายงานรายได้:
    • รายงานรายได้จากคริปโตเคอร์เรนซีทุกประเภท ทั้งจากการซื้อขาย การขุด และการได้รับเป็นค่าตอบแทน
    • ใช้แบบฟอร์มภาษีที่เหมาะสม เช่น ภ.ง.ด.90 สำหรับบุคคลธรรมดา หรือ ภ.ง.ด.50 สำหรับนิติบุคคล
  4. การยื่นแบบแสดงรายการภาษี:
    • ยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามกำหนดเวลา โดยปกติคือภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไปสำหรับบุคคลธรรมดา
    • หากมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้นำหลักฐานการหักภาษีมาแสดงด้วย
  5. การชำระภาษี:
    • ชำระภาษีตามจำนวนที่คำนวณได้ภายในกำหนดเวลา
    • หากไม่สามารถชำระภาษีได้ทั้งหมดในคราวเดียว อาจพิจารณาขอผ่อนชำระกับกรมสรรพากร
  6. การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
    • หากมีข้อสงสัยหรือกรณีที่ซับซ้อน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือนักบัญชีที่มีความเชี่ยวชาญด้านคริปโตเคอร์เรนซี
    • การขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยลดความเสี่ยงในการทำผิดกฎหมายภาษีโดยไม่ตั้งใจ

สรุป

กฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้ลงทุนและผู้ใช้งานคริปโตเคอร์เรนซีควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและระเบียบต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง

การวางแผนภาษีที่ดีและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมาย แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวสำหรับนักลงทุนคริปโตอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีมีความซับซ้อนและอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ผู้ลงทุนควรพิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือที่ปรึกษาทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและเกิดประโยชน์สูงสุด

ในท้ายที่สุด การเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ของพลเมืองที่ดี แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือและการยอมรับให้กับอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทยอีกด้วย