คริปโตเคอเรนซี่ (cryptocurrency) มีอะไรบ้างกี่ประเภท

คริปโตเคอเรนซี่ (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล เป็นรูปแบบของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการทำงาน โดยไม่ต้องพึ่งพาธนาคารกลางหรือรัฐบาลใดๆ ในการควบคุม ปัจจุบันมีคริปโตเคอเรนซี่มากกว่า 10,000 สกุล แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันไป

คริปโตเคอเรนซี่ มีอะไรบ้าง กี่ประเภท
คริปโตเคอเรนซี่ มีอะไรบ้าง กี่ประเภท

ประเภทคริปโตเคอเรนซี่

คริปโตเคอเรนซี่สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะการใช้งานและเทคโนโลยีที่ใช้ ดังนี้:

  1. สกุลเงินดิจิทัลทั่วไป: เช่น Bitcoin และ Litecoin ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นระบบการชำระเงินแบบกระจายศูนย์
  2. แพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ: เช่น Ethereum และ Solana ที่รองรับการสร้างและการทำงานของแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApps)
  3. Stablecoins: เช่น Tether และ USD Coin ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา
  4. Utility Tokens: ใช้งานในระบบนิเวศเฉพาะ เช่น Filecoin สำหรับการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์
  5. Security Tokens: เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ทางการเงินในโลกจริง เช่น หุ้นหรือพันธบัตร
  6. Governance Tokens: ใช้ในการมีส่วนร่วมตัดสินใจในโครงการคริปโต เช่น Uniswap (UNI)
  7. Non-Fungible Tokens (NFTs): โทเค็นที่มีลักษณะเฉพาะตัว ใช้แสดงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัล
  8. Privacy Coins: เน้นความเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรม เช่น Monero และ Zcash
  9. Meme Coins: สร้างขึ้นจากมีมหรือกระแสบนอินเทอร์เน็ต เช่น Dogecoin และ Shiba Inu
  10. Wrapped Tokens: ใช้แทนคริปโตเคอเรนซี่บนบล็อกเชนอื่น เช่น Wrapped Bitcoin บน Ethereum

แต่ละประเภทมีบทบาทและความสำคัญในระบบนิเวศของคริปโตเคอเรนซี่ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน การสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ ไปจนถึงการแสดงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัล การเข้าใจความแตกต่างและคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละประเภทจะช่วยให้นักลงทุนและผู้ที่สนใจสามารถตัดสินใจเลือกใช้งานหรือลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของตนเอง

ในบทความนี้ เราจะทำความรู้จักกับประเภทหลักๆ ของคริปโตเคอเรนซี่อย่างละเอียด พร้อมทั้งยกตัวอย่างที่สำคัญของแต่ละประเภท

1. สกุลเงินดิจิทัลทั่วไป (General-Purpose Cryptocurrencies)

สกุลเงินดิจิทัลทั่วไปเป็นคริปโตเคอเรนซี่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นระบบการชำระเงินแบบกระจายศูนย์ โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อทดแทนหรือเสริมระบบการเงินแบบดั้งเดิม

ตัวอย่างที่สำคัญ:

  • Bitcoin (BTC): สกุลเงินดิจิทัลแรกและใหญ่ที่สุดในโลก
  • Litecoin (LTC): มักถูกเรียกว่า “เงินดิจิทัล” เทียบกับ Bitcoin ที่เป็น “ทองคำดิจิทัล”
Bitcoin (BTC)
Bitcoin (BTC)

คุณสมบัติเด่น:

  • ไม่มีตัวกลางควบคุม (เช่น ธนาคารกลาง)
  • ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการบันทึกธุรกรรม
  • มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้
  • สามารถโอนเงินระหว่างประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ

ข้อจำกัด:

  • ความผันผวนของราคาสูง
  • การยอมรับในการใช้งานจริงยังจำกัด
  • อาจมีปัญหาด้านการปรับขนาด (scalability) เมื่อมีธุรกรรมจำนวนมาก

2. แพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract Platforms)

แพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะเป็นบล็อกเชนที่รองรับการสร้างและการทำงานของแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApps) โดยใช้สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) ในการกำหนดเงื่อนไขและการทำงานของแอปพลิเคชัน

ตัวอย่างที่สำคัญ:

  • Ethereum (ETH): แพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมสูงสุด
  • Solana (SOL): แพลตฟอร์มที่เน้นความเร็วและประสิทธิภาพสูง
  • Cardano (ADA): แพลตฟอร์มที่เน้นการพัฒนาอย่างมีหลักการทางวิทยาศาสตร์
Ethereum (ETH)
Ethereum (ETH)

คุณสมบัติเด่น:

  • รองรับการสร้าง DApps และ tokens ต่างๆ
  • มีภาษาโปรแกรมมิ่งเฉพาะสำหรับการเขียนสัญญาอัจฉริยะ (เช่น Solidity สำหรับ Ethereum)
  • สามารถใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน, ประกันภัย, โลจิสติกส์

ข้อจำกัด:

  • อาจมีปัญหาด้านความเร็วและค่าธรรมเนียมเมื่อมีการใช้งานสูง
  • ความซับซ้อนในการพัฒนาแอปพลิเคชัน
  • ความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดในโค้ดของสัญญาอัจฉริยะ

3. Stablecoins

Stablecoins เป็นคริปโตเคอเรนซี่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา โดยมักจะผูกมูลค่าไว้กับสินทรัพย์อื่น เช่น สกุลเงินดั้งเดิม (เช่น ดอลลาร์สหรัฐ) หรือสินค้าโภคภัณฑ์ (เช่น ทองคำ)

ตัวอย่างที่สำคัญ:

  • Tether (USDT): Stablecoin ที่ใหญ่ที่สุด ผูกมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐ
  • USD Coin (USDC): Stablecoin ที่ออกโดย Circle และ Coinbase
  • DAI: Stablecoin ที่ใช้ระบบ over-collateralization บนแพลตฟอร์ม MakerDAO
Tether (USDT)
Tether (USDT)

คุณสมบัติเด่น:

  • มีเสถียรภาพด้านราคา ลดความผันผวน
  • สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่อื่นๆ
  • เหมาะสำหรับการทำธุรกรรมและการเก็บมูลค่าในระยะสั้น

ข้อจำกัด:

  • ต้องพึ่งพาองค์กรกลางในการรับรองมูลค่า (สำหรับ Stablecoins แบบรับประกันด้วยสินทรัพย์)
  • อาจมีความเสี่ยงหากสินทรัพย์ที่ใช้รับประกันมีปัญหา
  • อาจถูกตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลมากกว่าคริปโตเคอเรนซี่ประเภทอื่น

4. Utility Tokens

Utility Tokens เป็นโทเค็นที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานในระบบนิเวศหรือแพลตฟอร์มเฉพาะ โดยมักจะให้สิทธิในการเข้าถึงบริการหรือฟีเจอร์ต่างๆ ภายในระบบนั้นๆ

ตัวอย่างที่สำคัญ:

  • Filecoin (FIL): ใช้สำหรับการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์
  • Basic Attention Token (BAT): ใช้ในระบบนิเวศของเบราว์เซอร์ Brave
  • Chainlink (LINK): ใช้สำหรับบริการ Oracle ในการเชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอกกับบล็อกเชน
Filecoin (FIL)
Filecoin (FIL)

คุณสมบัติเด่น:

  • มีประโยชน์ใช้สอยเฉพาะในระบบนิเวศของตัวเอง
  • มักจะมีอุปทานจำกัดเพื่อรักษามูลค่า
  • สามารถใช้เป็นแรงจูงใจสำหรับผู้ใช้งานในระบบ

ข้อจำกัด:

  • มูลค่าขึ้นอยู่กับความสำเร็จของโครงการหรือแพลตฟอร์มที่รองรับ
  • อาจมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบหากถูกพิจารณาว่าเป็นหลักทรัพย์
  • การใช้งานอาจจำกัดอยู่เฉพาะในระบบนิเวศของตัวเอง

5. Security Tokens

Security Tokens เป็นโทเค็นที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของสินทรัพย์ทางการเงินในโลกจริง เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานด้านหลักทรัพย์และตลาดทุน

ตัวอย่างที่สำคัญ:

  • Polymath (POLY): แพลตฟอร์มสำหรับการสร้างและจัดการ Security Tokens
  • tZERO: แพลตฟอร์มการซื้อขาย Security Tokens ที่ได้รับอนุญาตจาก SEC สหรัฐอเมริกา
Polymath (POLY)
Polymath (POLY)

คุณสมบัติเด่น:

  • แสดงความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ทางการเงินจริง
  • มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
  • อาจให้สิทธิในการรับเงินปันผลหรือสิทธิในการออกเสียง

ข้อจำกัด:

  • อยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเข้มงวด
  • อาจมีข้อจำกัดในการซื้อขายหรือโอน
  • ต้องมีการตรวจสอบตัวตนของนักลงทุนอย่างเข้มงวด (KYC/AML)

6. Governance Tokens

Governance Tokens เป็นโทเค็นที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการพัฒนาและการบริหารจัดการโครงการคริปโต โดยมักจะใช้ในระบบ Decentralized Autonomous Organization (DAO)

ตัวอย่างที่สำคัญ:

  • Uniswap (UNI): ใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการพัฒนา Uniswap DEX
  • Compound (COMP): ใช้ในการกำหนดนโยบายของโปรโตคอล Compound
Uniswap (UNI)
Uniswap (UNI)

คุณสมบัติเด่น:

  • ให้อำนาจในการตัดสินใจแก่ชุมชน
  • สนับสนุนการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการ
  • มักจะมีมูลค่าที่สะท้อนถึงความสำเร็จของโครงการ

ข้อจำกัด:

  • อาจเกิดการกระจุกตัวของอำนาจในกลุ่มผู้ถือโทเค็นรายใหญ่
  • การตัดสินใจอาจใช้เวลานานในกรณีที่มีความเห็นที่แตกต่างกันมาก
  • อาจมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบหากถูกพิจารณาว่าเป็นหลักทรัพย์

7. Non-Fungible Tokens (NFTs)

NFTs เป็นโทเค็นที่มีลักษณะเฉพาะตัวและไม่สามารถแบ่งแยกหรือทดแทนกันได้ ใช้แสดงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเอกลักษณ์ เช่น งานศิลปะ เพลง วิดีโอ หรือไอเท็มในเกม

ตัวอย่างที่สำคัญ:

  • CryptoPunks: คอลเลกชันภาพอวตาร 8-bit จำนวน 10,000 ชิ้น
  • Bored Ape Yacht Club: คอลเลกชัน NFT ที่ประกอบด้วยภาพการ์ตูนลิงที่มีลักษณะเฉพาะตัว 10,000 ตัว
  • Decentraland (MANA): แพลตฟอร์มโลกเสมือนจริงที่ใช้ NFTs แทนที่ดินและสินทรัพย์ในเกม
CryptoPunks
CryptoPunks

คุณสมบัติเด่น:

  • มีความเป็นเอกลักษณ์และไม่สามารถทดแทนกันได้
  • สามารถพิสูจน์ความเป็นเจ้าของและความหายากได้บนบล็อกเชน
  • มีศักยภาพในการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ศิลปะ ดนตรี เกม และอสังหาริมทรัพย์

ข้อจำกัด:

  • ราคาอาจมีความผันผวนสูงและขึ้นอยู่กับความนิยมในตลาด
  • อาจมีปัญหาด้านลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา
  • การประเมินมูลค่าที่แท้จริงอาจทำได้ยาก

8. Privacy Coins

Privacy Coins เป็นคริปโตเคอเรนซี่ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการปกปิดข้อมูลธุรกรรมเป็นพิเศษ โดยใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสขั้นสูงเพื่อปกปิดตัวตนของผู้ทำธุรกรรม จำนวนเงิน และรายละเอียดอื่นๆ ของธุรกรรม

ตัวอย่างที่สำคัญ:

  • Monero (XMR): ใช้เทคโนโลยี Ring Signatures และ Stealth Addresses
  • Zcash (ZEC): ใช้เทคโนโลยี zk-SNARKs เพื่อปกปิดข้อมูลธุรกรรม
  • Dash (DASH): มีฟีเจอร์ PrivateSend ที่ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรม
Monero (XMR)
Monero (XMR)

คุณสมบัติเด่น:

  • ให้ความเป็นส่วนตัวสูงในการทำธุรกรรม
  • ยากต่อการติดตามและตรวจสอบธุรกรรม
  • มักจะมีชุมชนผู้ใช้ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว

ข้อจำกัด:

  • อาจถูกใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมายได้ง่าย
  • อาจถูกควบคุมหรือห้ามใช้ในบางประเทศ
  • การยอมรับในวงกว้างอาจมีข้อจำกัดเนื่องจากความกังวลด้านการกำกับดูแล

9. Meme Coins

Meme Coins เป็นคริปโตเคอเรนซี่ที่สร้างขึ้นจากมีมหรือเรื่องตลกบนอินเทอร์เน็ต มักจะไม่มีประโยชน์ใช้สอยที่ชัดเจน แต่ได้รับความนิยมจากชุมชนออนไลน์

ตัวอย่างที่สำคัญ:

  • Dogecoin (DOGE): สร้างขึ้นในปี 2013 โดยใช้รูปสุนัขพันธุ์ Shiba Inu เป็นสัญลักษณ์
  • Shiba Inu (SHIB): สร้างขึ้นในปี 2020 โดยใช้แนวคิดคล้ายกับ Dogecoin
  • Safemoon (SAFEMOON): เน้นการถือครองระยะยาวโดยมีกลไกการเก็บค่าธรรมเนียมจากการขาย
Dogecoin (DOGE)
Dogecoin (DOGE)

คุณสมบัติเด่น:

  • มักจะมีชุมชนผู้ใช้ที่กระตือรือร้นและมีความภักดีสูง
  • ราคาอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากกระแสความนิยมในสื่อสังคมออนไลน์
  • มักจะมีอุปทานจำนวนมากและราคาต่อหน่วยต่ำ

ข้อจำกัด:

  • มักจะไม่มีมูลค่าพื้นฐานหรือประโยชน์ใช้สอยที่ชัดเจน
  • ความผันผวนของราคาสูงมาก
  • มีความเสี่ยงสูงจากการปั๊มราคาและการทิ้งราคา (pump and dump)

10. Wrapped Tokens

Wrapped Tokens เป็นโทเค็นที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแทนคริปโตเคอเรนซี่อื่นบนบล็อกเชนที่แตกต่างกัน ช่วยให้สามารถใช้งานคริปโตเคอเรนซี่ข้ามบล็อกเชนได้

ตัวอย่างที่สำคัญ:

  • Wrapped Bitcoin (WBTC): Bitcoin ที่ wrap บนบล็อกเชน Ethereum
  • Wrapped Ether (WETH): Ether ที่ wrap เป็นโทเค็น ERC-20 บน Ethereum
  • Wrapped BNB (WBNB): BNB ที่ wrap บน Binance Smart Chain
Wrapped Bitcoin (WBTC)
Wrapped Bitcoin (WBTC)

คุณสมบัติเด่น:

  • เพิ่มความสามารถในการทำงานข้ามบล็อกเชน
  • ช่วยเพิ่มสภาพคล่องระหว่างบล็อกเชนต่างๆ
  • สามารถใช้งานในระบบ DeFi บนบล็อกเชนอื่นที่ไม่ใช่บล็อกเชนต้นทาง

ข้อจำกัด:

  • ต้องพึ่งพาตัวกลางในการสร้างและไถ่ถอน Wrapped Tokens
  • อาจมีค่าธรรมเนียมในการ wrap และ unwrap
  • มีความเสี่ยงจากการรับประกันโดยตัวกลาง

สรุป

คริปโตเคอเรนซี่มีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ Bitcoin ที่เป็นสกุลเงินดิจิทัลทั่วไป ไปจนถึง Utility Tokens ที่ใช้งานในระบบนิเวศเฉพาะ และ NFTs ที่แสดงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเอกลักษณ์

การทำความเข้าใจประเภทต่างๆ ของคริปโตเคอเรนซี่จะช่วยให้นักลงทุนและผู้ที่สนใจสามารถตัดสินใจเลือกลงทุนหรือใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของตนเอง อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากตลาดคริปโตมีความผันผวนสูงและมีความเสี่ยงในการลงทุน

นอกจากนี้ ยังมีคริปโตเคอเรนซี่ประเภทอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาและเกิดขึ้นใหม่อยู่เสมอ เช่น Layer 2 Tokens, Tokenized Assets และ Fan Tokens ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีบล็อกเชนและการประยุกต์ใช้ในรูปแบบต่างๆ

ความหลากหลายของคริปโตเคอเรนซี่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนในการสร้างนวัตกรรมทางการเงินและการใช้งานในรูปแบบต่างๆ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบและการยอมรับในวงกว้าง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดอนาคตของคริปโตเคอเรนซี่ในระยะยาว