ประเทศไทยได้มีการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโตเคอร์เรนซีอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2561 โดยมีกฎหมายหลักคือ พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 นอกจากนี้ยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซี
บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทย โดยเน้นที่มาตราสำคัญของพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เป็นหลัก
พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561
มาตรา 3: คำนิยาม
มาตรานี้ให้คำนิยามของคำสำคัญต่างๆ ที่ใช้ในกฎหมายฉบับนี้ เช่น:
- “สินทรัพย์ดิจิทัล” หมายความว่า คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล
- “คริปโทเคอร์เรนซี” หมายความว่า หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์โดยมีความประสงค์ที่จะใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใด หรือแลกเปลี่ยนระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัล
- “โทเคนดิจิทัล” หมายความว่า หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการใด ๆ หรือกำหนดสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง
การกำหนดคำนิยามเหล่านี้มีความสำคัญมากเพราะเป็นการกำหนดขอบเขตของสิ่งที่กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมถึง
มาตรา 4: ผู้รักษาการตามกฎหมาย
มาตรานี้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามพระราชกำหนดนี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา 5: ข้อยกเว้นไม่ให้ถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล
มาตรานี้ระบุว่า หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไม่ให้ถือเป็นคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลตามพระราชกำหนดนี้ ซึ่งเป็นการแยกแยะระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลและหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม
มาตรา 7: การกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสถาบันการเงิน
มาตรานี้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลเป็นสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งมีนัยสำคัญในการป้องกันการใช้คริปโตเคอร์เรนซีในการฟอกเงินหรือสนับสนุนการก่อการร้าย
มาตรา 9: ข้อจำกัดในการรับคริปโทเคอร์เรนซี
มาตรานี้กำหนดว่าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะรับคริปโทเคอร์เรนซีจากลูกค้าหรือผู้เสนอขายโทเคนดิจิทัลได้เฉพาะคริปโทเคอร์เรนซีที่ได้จากการซื้อขาย แลกเปลี่ยน หรือฝากไว้กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น เพื่อป้องกันการนำคริปโทเคอร์เรนซีที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมาใช้
มาตรา 16-25: การเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน
มาตราเหล่านี้กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน (ICO) โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
- มาตรา 17: กำหนดให้การเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชนต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. และต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลและร่างหนังสือชี้ชวน
- มาตรา 19: กำหนดให้การเสนอขายโทเคนดิจิทัลต้องกระทำผ่านผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต.
- มาตรา 25: กำหนดให้ผู้เสนอขายโทเคนดิจิทัลต้องจัดทำและส่งรายงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและฐานะการเงินต่อสำนักงาน ก.ล.ต.
มาตรา 26-31: การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
มาตราเหล่านี้กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น:
- มาตรา 26: กำหนดให้การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ก.ล.ต.
- มาตรา 30: กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด
- มาตรา 31: กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่เก็บรักษาทรัพย์สินของลูกค้าต้องจัดทำบัญชีทรัพย์สินของลูกค้าแยกต่างหากจากทรัพย์สินของตน
มาตรา 32-37: การเลิกประกอบธุรกิจและการเพิกถอนการอนุญาต
มาตราเหล่านี้กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเลิกประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและการเพิกถอนการอนุญาต เช่น:
- มาตรา 32: กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
- มาตรา 35: ให้อำนาจรัฐมนตรีในการเพิกถอนการอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
มาตรา 38-50: การป้องกันการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
มาตราเหล่านี้กำหนดมาตรการป้องกันการกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น:
- มาตรา 40-41: ห้ามบุคคลเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จที่อาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดเกี่ยวกับฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน ราคาซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้ออกโทเคนดิจิทัล
- มาตรา 42-44: ห้ามบุคคลที่รู้ข้อมูลภายในซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยอาศัยข้อมูลภายในนั้น
- มาตรา 46-50: ห้ามบุคคลสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาด
มาตรา 51-56: อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตราเหล่านี้กำหนดอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ เช่น:
- มาตรา 51: ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปในสถานที่ประกอบธุรกิจหรือสถานที่อื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามพระราชกำหนดนี้
- มาตรา 52: ให้อำนาจสำนักงาน ก.ล.ต. ในการให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลของต่างประเทศ
- มาตรา 56: กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 57-74: บทกำหนดโทษ
มาตราเหล่านี้กำหนดบทลงโทษสำหรับการฝ่าฝืนบทบัญญัติต่างๆ ในพระราชกำหนดนี้ เช่น:
- มาตรา 58: กำหนดโทษสำหรับการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต
- มาตรา 59: กำหนดโทษสำหรับการเสนอขายโทเคนดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาต
- มาตรา 70-72: กำหนดโทษสำหรับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
มาตรา 75-99: มาตรการลงโทษทางแพ่ง
มาตราเหล่านี้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งสำหรับการกระทำความผิดบางประการตามพระราชกำหนดนี้ เช่น:
- มาตรา 75-76: กำหนดให้คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่งมีอำนาจกำหนดค่าปรับทางแพ่ง
- มาตรา 77-80: กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาลงโทษทางแพ่ง
- มาตรา 81-99: กำหนดกระบวนการในการดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561
พระราชกำหนดฉบับนี้แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรเพื่อรองรับการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตราสำคัญดังนี้:
มาตรา 3: การเพิ่มเติมบทนิยาม
เพิ่มเติมบทนิยามของ “คริปโทเคอร์เรนซี” และ “โทเคนดิจิทัล” ในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561
มาตรา 4: การเพิ่มเติมเงินได้พึงประเมิน
แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 40(4) แห่งประมวลรัษฎากร โดยเพิ่มเติมให้ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัล และผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้
มาตรา 5: การหักภาษี ณ ที่จ่าย
แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 50(2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยกำหนดให้การจ่ายผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15
กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากพระราชกำหนดทั้งสองฉบับที่กล่าวมาแล้ว ยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลคริปโตเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ได้แก่:
1. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
กฎหมายฉบับนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการป้องกันการใช้คริปโตเคอร์เรนซีในการฟอกเงิน โดยมาตราที่สำคัญ ได้แก่:
- มาตรา 3: นิยามของ “ธุรกรรม” และ “ทรัพย์สิน” ซึ่งครอบคลุมถึงการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล
- มาตรา 13: กำหนดให้สถาบันการเงินมีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรมต่อสำนักงาน ปปง. ซึ่งรวมถึงธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล
2. พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545
กฎหมายฉบับนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีที่มีการใช้ข้อมูลการทำธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาสินเชื่อหรือการให้บริการทางการเงิน โดยมาตราที่สำคัญ ได้แก่:
- มาตรา 3: นิยามของ “ข้อมูล” ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล
- มาตรา 20: กำหนดหลักเกณฑ์ในการเปิดเผยข้อมูลของลูกค้า ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลการทำธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซี
3. พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544
กฎหมายฉบับนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับรองสถานะทางกฎหมายของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึงธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมาตราที่สำคัญ ได้แก่:
- มาตรา 7: กำหนดให้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ไม่อาจถูกปฏิเสธผลทางกฎหมายเพียงเพราะเหตุที่ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
- มาตรา 9: กำหนดให้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้แทนลายมือชื่อที่กฎหมายกำหนดให้ลงลายมือชื่อได้
สรุป
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยมีหลายฉบับ โดยมีพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เป็นกฎหมายหลักที่กำกับดูแลการประกอบธุรกิจและการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายภาษี กฎหมายป้องกันการฟอกเงิน และกฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
การทำความเข้าใจกับกฎหมายเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจหรือลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้องและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอาจมีการปรับเปลี่ยนในอนาคตเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและตลาด ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายอย่างใกล้ชิดและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น