คริปโตผิดกฏหมายหรือไม่ สามารถเทรดได้หรือไม่

คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ได้รับความสนใจอย่างมากทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ด้วยลักษณะเฉพาะของคริปโตเคอร์เรนซีที่ไม่มีตัวตนทางกายภาพและไม่ได้ออกโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลาง จึงเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายและการกำกับดูแล บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกว่าคริปโตผิดกฎหมายหรือไม่ และสามารถเทรดได้หรือไม่ในประเทศไทย รวมถึงผลกระทบต่อธุรกิจและบุคคลทั่วไป

คริปโตผิดกฏหมายหรือไม่
คริปโตผิดกฏหมายหรือไม่

Table of Contents

สถานะทางกฎหมายของคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทย

กรอบกฎหมายหลัก

ในปัจจุบัน คริปโตเคอร์เรนซีไม่ถือว่าผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้ถูกยอมรับว่าเป็นเงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย สถานะทางกฎหมายของคริปโตเคอร์เรนซีในไทยถูกกำหนดโดยพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561

ตามพระราชกำหนดนี้ คริปโตเคอร์เรนซีถูกจัดให้เป็น “สินทรัพย์ดิจิทัล” ประเภทหนึ่ง โดยนิยามว่าเป็น “หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์โดยมีความประสงค์ที่จะใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใด หรือแลกเปลี่ยนระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัล”

ความแตกต่างระหว่างคริปโตเคอร์เรนซีและเงินตราตามกฎหมาย

เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจว่า แม้คริปโตเคอร์เรนซีจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้มีสถานะเทียบเท่ากับเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกแถลงการณ์หลายครั้งเพื่อเตือนประชาชนว่าคริปโตเคอร์เรนซีไม่ใช่เงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในประเทศไทย

ความแตกต่างนี้มีนัยสำคัญในแง่กฎหมาย เพราะหมายความว่าไม่มีใครสามารถบังคับให้ผู้อื่นยอมรับการชำระหนี้ด้วยคริปโตเคอร์เรนซีได้ และสัญญาที่กำหนดให้ชำระหนี้ด้วยคริปโตเคอร์เรนซีอาจไม่สามารถบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย

คริปโตเคอร์เรนซีและเงินตราตามกฎหมาย
คริปโตเคอร์เรนซีและเงินตราตามกฎหมาย

การกำกับดูแลคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทย

หน่วยงานกำกับดูแล

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลธุรกิจและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทย โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

ขอบเขตการกำกับดูแล

การกำกับดูแลครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่:

  1. การอนุญาตและควบคุมผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
  2. การกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานและการบริหารความเสี่ยง
  3. การป้องกันการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
  4. การคุ้มครองผู้ลงทุนและผู้บริโภค
  5. การกำกับดูแลการเสนอขายโทเคนดิจิทัล (Initial Coin Offering หรือ ICO)

การเทรดคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทย

ความถูกต้องตามกฎหมาย

การเทรดคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทยสามารถทำได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ต้องดำเนินการผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เท่านั้น ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้ได้แก่:

  1. ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange)
  2. นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker)
  3. ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Dealer)

กระบวนการเปิดบัญชีและการทำธุรกรรม

ผู้ที่ต้องการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีจะต้องเปิดบัญชีกับผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต และต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบตัวตนของลูกค้า (KYC – Know Your Customer) และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (CDD – Customer Due Diligence) ตามมาตรฐานที่กำหนดโดย ก.ล.ต.

กลต.
กลต.

ขั้นตอนโดยทั่วไปในการเปิดบัญชีและเริ่มเทรด มีดังนี้:

  1. เลือกผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.
  2. ลงทะเบียนและกรอกข้อมูลส่วนตัว
  3. ยืนยันตัวตนโดยส่งเอกสารประจำตัว เช่น บัตรประชาชน หรือหนังสือเดินทาง
  4. รอการอนุมัติบัญชี
  5. ฝากเงินเข้าบัญชี
  6. เริ่มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี

ข้อจำกัดและความเสี่ยงในการเทรดคริปโตเคอร์เรนซี

แม้ว่าการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีจะสามารถทำได้อย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย แต่ก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนควรตระหนัก:

  1. ความผันผวนของราคา: ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างมากได้
  2. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: การโจรกรรมทางไซเบอร์และการแฮ็กระบบยังคงเป็นภัยคุกคามสำคัญในวงการคริปโต
  3. การกำกับดูแลที่เข้มงวด: ผู้ประกอบธุรกิจและผู้ลงทุนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด รวมถึงการรายงานธุรกรรมและการเสียภาษี
  4. ข้อจำกัดในการใช้งาน: คริปโตเคอร์เรนซียังไม่สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการได้อย่างกว้างขวางในประเทศไทย
  5. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: บางคริปโตเคอร์เรนซีอาจมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ยากต่อการซื้อขายในปริมาณมากหรือในราคาที่ต้องการ
  6. ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: เนื่องจากคริปโตเคอร์เรนซีอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชน จึงอาจเกิดปัญหาทางเทคนิคที่ส่งผลต่อการทำธุรกรรมได้
  7. ความเสี่ยงด้านกฎหมายและกฎระเบียบ: กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการใช้งาน

การเสียภาษีจากการเทรดคริปโตเคอร์เรนซี

ประเภทของรายได้ที่ต้องเสียภาษี

รายได้จากการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีถือเป็นรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท:

  1. เงินส่วนแบ่งของกำไรหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการถือหรือครอบครองคริปโตเคอร์เรนซี
  2. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโตเคอร์เรนซี เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
ภาษีคริปโต
ภาษีคริปโต

วิธีการคำนวณภาษี

การคำนวณภาษีจากการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีอาจซับซ้อน เนื่องจากต้องคำนึงถึงต้นทุนและราคาขายของแต่ละธุรกรรม โดยทั่วไป วิธีการคำนวณมีดังนี้:

  1. คำนวณกำไรหรือขาดทุนจากแต่ละธุรกรรม โดยนำราคาขายลบด้วยต้นทุน
  2. รวมกำไรหรือขาดทุนจากทุกธุรกรรมในปีภาษีนั้น
  3. นำยอดรวมกำไรหรือขาดทุนไปรวมกับรายได้จากแหล่งอื่นๆ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

อัตราภาษี

ผู้มีรายได้จากการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยอัตราภาษีจะเป็นไปตามอัตราก้าวหน้าปกติ ซึ่งในปัจจุบัน (พ.ศ. 2566) มีดังนี้:

  • รายได้ 0 – 150,000 บาท: ยกเว้นภาษี
  • รายได้ 150,001 – 300,000 บาท: 5%
  • รายได้ 300,001 – 500,000 บาท: 10%
  • รายได้ 500,001 – 750,000 บาท: 15%
  • รายได้ 750,001 – 1,000,000 บาท: 20%
  • รายได้ 1,000,001 – 2,000,000 บาท: 25%
  • รายได้ 2,000,001 – 5,000,000 บาท: 30%
  • รายได้ 5,000,001 บาทขึ้นไป: 35%

ความท้าทายในการเสียภาษีคริปโตเคอร์เรนซี

การเสียภาษีจากการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีมีความท้าทายหลายประการ:

  1. การติดตามธุรกรรม: ผู้เทรดอาจทำธุรกรรมจำนวนมากในหลายแพลตฟอร์ม ทำให้ยากต่อการติดตามและบันทึกทุกธุรกรรม
  2. การกำหนดมูลค่า: ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ทำให้ยากต่อการกำหนดมูลค่าที่แท้จริง ณ เวลาที่ทำธุรกรรม
  3. การพิสูจน์แหล่งที่มาของเงิน: อาจเป็นเรื่องยากในการพิสูจน์แหล่งที่มาของคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้มาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะหากได้มาจากการขุด (mining) หรือการแลกเปลี่ยนแบบ peer-to-peer
  4. การจัดการกับการขาดทุน: ยังไม่มีความชัดเจนว่าการขาดทุนจากการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้หรือไม่ และอย่างไร
  5. การปรับตัวตามกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง: กฎระเบียบเกี่ยวกับภาษีคริปโตเคอร์เรนซีอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทำให้ผู้เทรดต้องปรับตัวตามอยู่เสมอ

ผลกระทบต่อธุรกิจและบุคคลทั่วไป

การลงทุนในคริปโต
การลงทุนในคริปโต

ผลกระทบต่อธุรกิจ

  1. โอกาสทางธุรกิจใหม่: การยอมรับคริปโตเคอร์เรนซีอย่างถูกกฎหมายเปิดโอกาสให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ เช่น ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทให้คำปรึกษาด้านการลงทุนในคริปโต และบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน
  2. การปรับตัวของธุรกิจการเงินแบบดั้งเดิม: ธนาคารและสถาบันการเงินต้องปรับตัวเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป
  3. ความท้าทายด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ: ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีต้องลงทุนในระบบและบุคลากรเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดได้
  4. การบริหารความเสี่ยง: ธุรกิจต้องพัฒนากลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงใหม่ๆ เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดคริปโตและความเสี่ยงทางไซเบอร์

ผลกระทบต่อบุคคลทั่วไป

  1. โอกาสในการลงทุนใหม่: ประชาชนมีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน
  2. การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่: ผู้ที่สนใจต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและการทำงานของคริปโตเคอร์เรนซี
  3. ความรับผิดชอบด้านภาษี: ผู้ที่มีรายได้จากคริปโตเคอร์เรนซีต้องเรียนรู้วิธีการคำนวณและชำระภาษีอย่างถูกต้อง
  4. ความระมัดระวังต่อการหลอกลวง: ประชาชนต้องระมัดระวังการหลอกลวงและการลงทุนที่ผิดกฎหมายที่แอบอ้างใช้คริปโตเคอร์เรนซี

กรณีศึกษาและตัวอย่าง

กรณีศึกษาที่ 1: การปิดเว็บไซต์เทรดคริปโตที่ไม่ได้รับอนุญาต

ในปี 2564 ก.ล.ต. ได้ดำเนินการทางกฎหมายกับเว็บไซต์เทรดคริปโตเคอร์เรนซีที่ไม่ได้รับอนุญาตแห่งหนึ่ง โดยสั่งปิดเว็บไซต์และดำเนินคดีกับผู้บริหาร กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานกำกับดูแลมีความจริงจังในการบังคับใช้กฎหมายและปกป้องนักลงทุน

กรณีศึกษาที่ 2: การออก ICO ที่ได้รับอนุญาต

บริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งในไทยได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ให้ออก ICO ในปี 2565 โดยผ่านกระบวนการตรวจสอบและได้รับการอนุมัติจาก ICO portal ที่ได้รับการรับรอง กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการระดมทุนผ่าน ICO สามารถทำได้อย่างถูกกฎหมายหากปฏิบัติตามขั้นตอนและกฎระเบียบที่กำหนด

กรณีศึกษาที่ 3: ธนาคารพาณิชย์เข้าสู่ธุรกิจคริปโต

ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในไทยได้เข้าซื้อกิจการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตในปี 2565 แสดงให้เห็นถึงการยอมรับและการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตในประเทศไทย รวมถึงการปรับตัวของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม

แนวโน้มในอนาคต

การพัฒนากฎระเบียบ

คาดว่าในอนาคตจะมีการพัฒนากฎระเบียบเพิ่มเติมเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี โดยอาจมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อ:

  1. ให้ความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการเสียภาษีคริปโตเคอร์เรนซี
  2. กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
  3. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในภาคส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากการเงิน

การยอมรับในวงกว้าง

แม้ว่าในปัจจุบันคริปโตเคอร์เรนซียังไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการใช้ชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศไทย แต่ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะหากมีการพัฒนา “สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง” (Central Bank Digital Currency – CBDC) ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังศึกษาและทดลองอยู่

CBDC
CBDC

การแข่งขันระหว่างประเทศ

ประเทศไทยอาจต้องพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบและนโยบายเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่กำลังพยายามดึงดูดธุรกิจและการลงทุนในอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชน

คำแนะนำสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการ

สำหรับนักลงทุน

  1. ศึกษาให้เข้าใจ: ก่อนลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน วิธีการทำงานของคริปโตเคอร์เรนซี และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
  2. ใช้บริการผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาต: เลือกใช้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือนายหน้าที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เท่านั้น
  3. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมากเกินไปจนกระทบต่อความมั่นคงทางการเงิน ควรกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทอื่นด้วย
  4. ระมัดระวังการหลอกลวง: ระวังโครงการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติหรือมีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่
  5. เก็บบันทึกธุรกรรม: จดบันทึกการซื้อขายและธุรกรรมทั้งหมดเพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษีและการตรวจสอบ
  6. ปฏิบัติตามกฎหมายภาษี: ศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี
  7. ใช้วิธีการเก็บรักษาที่ปลอดภัย: หากถือครองคริปโตเคอร์เรนซีจำนวนมาก ควรพิจารณาใช้กระเป๋าเงินแบบ hardware wallet เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

สำหรับผู้ประกอบการ

  1. ขอใบอนุญาตให้ถูกต้อง: หากต้องการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องขอใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. และปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
  2. พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัย: ลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องทรัพย์สินของลูกค้าและบริษัท
  3. ปฏิบัติตามมาตรฐาน KYC/AML: พัฒนาและปฏิบัติตามนโยบายการรู้จักลูกค้า (KYC) และการป้องกันการฟอกเงิน (AML) อย่างเคร่งครัด
  4. สร้างความโปร่งใส: เปิดเผยข้อมูลที่สำคัญให้กับลูกค้าและหน่วยงานกำกับดูแลอย่างครบถ้วนและตรงไปตรงมา
  5. ให้ความรู้แก่ลูกค้า: จัดทำข้อมูลและให้ความรู้แก่ลูกค้าเกี่ยวกับความเสี่ยงและวิธีการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างปลอดภัย
  6. ติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย: ติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ และปรับตัวให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่
  7. สร้างเครือข่ายและความร่วมมือ: ร่วมมือกับผู้ประกอบการรายอื่นและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและสร้างมาตรฐานที่ดี
  8. เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบ: จัดเตรียมระบบและเอกสารให้พร้อมสำหรับการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล

ในท้ายที่สุด การพัฒนาของอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทยจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค การปฏิบัติตามกฎหมายและการร่วมมือกันระหว่างทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับเทคโนโลยีทางการเงินแห่งอนาคตนี้

สรุป

คริปโตเคอร์เรนซีไม่ผิดกฎหมายในประเทศไทย และสามารถเทรดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายผ่านผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. อย่าง

ไรก็ตาม การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงสูง และผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้ ผู้มีรายได้จากการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย

ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงินและการปกป้องผู้ลงทุนและระบบการเงิน กรอบกฎหมายและกฎระเบียบที่มีอยู่ในปัจจุบันเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องเผชิญ ทั้งในแง่ของการบังคับใช้กฎหมาย การปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนทั่วไป การพัฒนาในอนาคตจะขึ้นอยู่กับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการ และประชาชน ในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีอย่างยั่งยืนและปลอดภัย