ธุรกรรมการเงินของ Defi มีอะไรบ้าง

หากคุณเคยได้ยินคำว่า “DeFi” แต่ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรและใช้ทำอะไรได้บ้าง บทความนี้จะช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ถึงประเภทของธุรกรรมการเงินที่คุณสามารถทำได้ผ่านระบบ DeFi

ธุรกรรมการเงินของ Defi
ธุรกรรมการเงินของ Defi

Table of Contents

DeFi คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?

DeFi ย่อมาจาก Decentralized Finance หรือระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ เป็นระบบที่ให้คุณทำธุรกรรมทางการเงินได้โดยตรงกับคู่สัญญา โดยไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงิน เหมือนกับที่เราสามารถส่งอีเมลถึงกันได้โดยตรงโดยไม่ต้องส่งจดหมายผ่านไปรษณีย์

เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ:

  • ระบบเดิม: คุณต้องไปธนาคาร → ธนาคารตรวจสอบ → ธนาคารอนุมัติ → ทำธุรกรรมสำเร็จ
  • ระบบ DeFi: คุณทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน → เสร็จทันที

ธุรกรรมการเงินที่ทำได้ใน DeFi

1. การแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล (Decentralized Exchange – DEX)

DEX เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตต่างๆ ได้โดยตรง มีลักษณะเด่นดังนี้:

Decentralized Exchange DEX
Decentralized Exchange DEX

การทำงานของ DEX

  • ใช้ระบบ Automated Market Maker (AMM) ในการกำหนดราคาอัตโนมัติ
  • ราคากำหนดโดยอัลกอริทึมและปริมาณสภาพคล่องในพูล
  • ไม่ต้องมี Order Book แบบตลาดแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์

ข้อดีของ DEX

  • ไม่ต้องฝากเงินไว้กับตัวกลาง ลดความเสี่ยงจากการถูกแฮ็ก
  • ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าการแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์
  • สามารถแลกเปลี่ยนโทเคนที่เพิ่งออกใหม่ได้ทันที
  • มีความโปร่งใสสูงเนื่องจากธุรกรรมทั้งหมดอยู่บนบล็อกเชน

แพลตฟอร์ม DEX ที่นิยม

  • Uniswap – DEX ที่ใหญ่ที่สุดบน Ethereum
  • PancakeSwap – DEX ยอดนิยมบน Binance Smart Chain
  • SushiSwap – DEX ที่มีฟีเจอร์หลากหลาย
  • Curve – เน้นการแลกเปลี่ยน Stablecoins

2. การให้กู้ยืม (Lending and Borrowing)

บริการให้กู้ยืมใน DeFi มีความยืดหยุ่นสูงและมีหลายรูปแบบ:

Lending and Borrowing
Lending and Borrowing

การให้กู้แบบมีหลักประกัน (Collateralized Lending)

  • ผู้กู้ต้องวางสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหลักประกันมากกว่ามูลค่าที่กู้
  • อัตราดอกเบี้ยปรับตามอุปสงค์และอุปทานในตลาด
  • สัญญาอัจฉริยะจัดการเรื่องการชำระคืนและการยึดหลักประกันอัตโนมัติ
  • มักมี Liquidation Threshold เพื่อป้องกันความเสี่ยง

Flash Loans

  • เป็นการกู้ยืมที่ต้องชำระคืนภายในธุรกรรมเดียวกัน
  • ไม่ต้องใช้หลักประกัน
  • นิยมใช้ในการทำ Arbitrage Trading
  • มีความเสี่ยงต่ำสำหรับผู้ให้กู้เนื่องจากต้องชำระคืนทันที

แพลตฟอร์มการกู้ยืมที่สำคัญ

  • Aave – แพลตฟอร์มที่มีสินทรัพย์ให้เลือกหลากหลาย
  • Compound – ระบบการกู้ยืมอัตโนมัติ
  • MakerDAO – ผู้ให้บริการ Stablecoin DAI
  • dYdX – แพลตฟอร์มที่รวมการกู้ยืมและการเทรด

3. การให้สภาพคล่อง (Liquidity Providing)

ผู้ใช้สามารถมีส่วนร่วมในการสร้างตลาดโดยการให้สภาพคล่อง:

Liquidity Providing
Liquidity Providing

กลไกการทำงาน

  • ผู้ให้สภาพคล่องฝากคู่สกุลเงินคริปโตในพูล
  • ได้รับโทเคน LP (Liquidity Provider) แสดงส่วนแบ่ง
  • รับค่าธรรมเนียมจากการแลกเปลี่ยนในพูล
  • สามารถถอนสภาพคล่องได้ตลอดเวลา

ผลตอบแทนและความเสี่ยง

  • ได้รับค่าธรรมเนียมตามสัดส่วนการถือ LP Token
  • มีความเสี่ยงจาก Impermanent Loss
  • ราคาของสินทรัพย์อาจเปลี่ยนแปลงระหว่างการให้สภาพคล่อง
  • อาจได้รับโทเคนการกำกับดูแลเพิ่มเติม

4. Yield Farming

เป็นกลยุทธ์การลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนสูงสุดใน DeFi:

Yield Farming
Yield Farming

วิธีการทำ Yield Farming

  • นำสินทรัพย์ไปวางในโปรโตคอลต่างๆ
  • ย้ายสภาพคล่องไปมาเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีที่สุด
  • ใช้กลยุทธ์การทำกำไรจากส่วนต่างระหว่างแพลตฟอร์ม
  • รวมผลตอบแทนจากหลายแหล่งเข้าด้วยกัน

แหล่งที่มาของผลตอบแทน

  • ค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยน
  • ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืม
  • โทเคนการกำกับดูแล
  • โบนัสและรางวัลจากโปรโตคอล

ความเสี่ยงในการทำ Yield Farming

  • Smart Contract Risk
  • Impermanent Loss
  • ความผันผวนของราคา
  • ความเสี่ยงจากการถูกแฮ็ก

5. สินทรัพย์ที่มีความคงที่ (Stablecoins)

Stablecoins เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ออกแบบให้มีมูลค่าคงที่:

Tether (USDT)
Tether (USDT)

ประเภทของ Stablecoins

  • Fiat-Collateralized: มีสินทรัพย์จริงค้ำประกัน (เช่น USDC, USDT)
  • Crypto-Collateralized: ใช้คริปโตเป็นหลักประกัน (เช่น DAI)
  • Algorithmic: ใช้อัลกอริทึมควบคุมมูลค่า

การใช้งาน Stablecoins

  • เป็นสื่อกลางในการซื้อขาย
  • รักษามูลค่าในช่วงตลาดผันผวน
  • ใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
  • สะสมดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืม

6. การประกันภัย (Insurance)

บริการประกันภัยใน DeFi ช่วยปกป้องความเสี่ยงต่างๆ:

ประเภทของการคุ้มครอง

  • การแฮ็กสัญญาอัจฉริยะ
  • การล้มเหลวของ Stablecoins
  • การสูญเสียจากการถูกโจรกรรม
  • ความผิดพลาดของโปรโตคอล

แพลตฟอร์มประกันภัย

  • Nexus Mutual
  • InsurAce
  • Bridge Mutual
  • Unslashed Finance

7. การซื้อขายอนุพันธ์ (Derivatives Trading)

DeFi มีเครื่องมือสำหรับการเทรดอนุพันธ์หลายรูปแบบ:

Derivatives Trading
Derivatives Trading

ประเภทของอนุพันธ์

  • Futures และ Perpetual Futures
  • Options
  • Synthetic Assets
  • Leveraged Trading

แพลตฟอร์มการเทรดอนุพันธ์

  • dYdX
  • Synthetix
  • Perpetual Protocol
  • GMX

8. การบริหารสินทรัพย์ (Asset Management)

DeFi มีเครื่องมือสำหรับการจัดการพอร์ตการลงทุน:

รูปแบบการบริหารสินทรัพย์

  • Index Funds
  • Robo-Advisors
  • Yield Optimization
  • Portfolio Rebalancing

แพลตฟอร์มบริหารสินทรัพย์

  • TokenSets
  • DeFi Pulse Index
  • PieDAO
  • Yearn Finance

ตารางเปรียบเทียบธุรกรรมการเงินระหว่าง DeFi และธนาคารแบบดั้งเดิม

ประเภทบริการ DeFi ธนาคารแบบดั้งเดิม
การเปิดบัญชี – ไม่ต้องยืนยันตัวตน
– เปิดได้ทันทีผ่าน Wallet
– ไม่มีขั้นต่ำ
– เข้าถึงได้ตลอด 24/7
– ต้องยืนยันตัวตน (KYC)
– ใช้เอกสารประกอบ
– มียอดขั้นต่ำ
– มีเวลาทำการ
การกู้ยืม – ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกัน
– อัตราดอกเบี้ยปรับอัตโนมัติ
– อนุมัติทันที
– ไม่ต้องตรวจสอบเครดิต
– ต้องมีประวัติเครดิต
– อัตราดอกเบี้ยคงที่
– ใช้เวลาอนุมัติ
– ตรวจสอบความสามารถในการชำระ
การลงทุน – ผลตอบแทนสูง
– ความเสี่ยงสูง
– ไม่มีคนกลาง
– สภาพคล่องสูง
– ผลตอบแทนต่ำกว่า
– ความเสี่ยงต่ำกว่า
– มีคนกลางดูแล
– สภาพคล่องขึ้นกับผลิตภัณฑ์
ค่าธรรมเนียม – Gas Fee ผันแปร
– ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี
– ค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรม
– โปร่งใสตรวจสอบได้
– ค่าธรรมเนียมคงที่
– มีค่าธรรมเนียมรายปี
– ค่าธรรมเนียมหลายประเภท
– อาจมีค่าใช้จ่ายแฝง
การโอนเงิน – ทำได้ทันที 24/7
– ข้ามประเทศได้
– ค่าธรรมเนียมต่ำ
– ไม่จำกัดจำนวน
– มีเวลาทำการ
– ข้อจำกัดระหว่างประเทศ
– ค่าธรรมเนียมสูงกว่า
– มีการจำกัดวงเงิน
ความปลอดภัย – ใช้เทคโนโลยีเข้ารหัส
– เสี่ยงต่อการแฮ็ก
– ไม่สามารถเรียกคืนได้
– ผู้ใช้ดูแลความปลอดภัยเอง
– ระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐาน
– มีการประกันเงินฝาก
– สามารถเรียกคืนได้
– มีเจ้าหน้าที่ดูแล

ข้อดีของการใช้ DeFi

  1. ความสะดวกรวดเร็ว
  • ทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • ไม่ต้องรอการอนุมัติ
  • ไม่ต้องกรอกเอกสาร
  1. ต้นทุนต่ำ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี
  • ค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมต่ำ
  • ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง
  1. ผลตอบแทนสูง
  • อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าระบบธนาคาร
  • มีโอกาสได้รับโทเคนรางวัล
  • มีช่องทางสร้างรายได้หลากหลาย

ความเสี่ยงที่ควรระวัง

DeFi
DeFi
  1. การสูญเสียเงินทุน
  • ความผันผวนของราคาสินทรัพย์
  • การถูกแฮ็กหรือหลอกลวง
  • การทำผิดพลาดในการใช้งาน
  1. ความเสี่ยงทางเทคนิค
  • ข้อผิดพลาดของสัญญาอัจฉริยะ
  • การสูญหายของรหัสกระเป๋าเงิน
  • ปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย
  1. ความไม่แน่นอนทางกฎหมาย
  • กฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน
  • ความเสี่ยงจากการถูกแบน
  • ไม่มีหน่วยงานคุ้มครองผู้ใช้งาน

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  1. เริ่มต้นอย่างระมัดระวัง
  • ศึกษาให้เข้าใจก่อนลงทุน
  • เริ่มจากจำนวนเงินน้อยๆ
  • ใช้แพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ
  1. การรักษาความปลอดภัย
  • เก็บรักษารหัสให้ดี
  • ใช้ 2FA เสมอ
  • ระวังเว็บไซต์หลอกลวง
  1. การบริหารความเสี่ยง
  • กระจายการลงทุน
  • ตั้งจุดตัดขาดทุน
  • ไม่ลงทุนเกินกำลัง

สรุป

DeFi นำเสนอทางเลือกใหม่ในการทำธุรกรรมทางการเงินที่รวดเร็ว มีค่าใช้จ่ายต่ำ และเข้าถึงได้ง่าย ด้วยธุรกรรมที่หลากหลายตั้งแต่การแลกเปลี่ยน การให้กู้ยืม ไปจนถึงการประกันภัย อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรศึกษาและเข้าใจความเสี่ยงต่างๆ ก่อนเข้าร่วม เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก DeFi ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การพัฒนาของ DeFi ในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยี การยอมรับจากผู้ใช้ และการกำกับดูแลที่เหมาะสม