ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คริปโทเคอร์เรนซีหรือสกุลเงินดิจิทัลได้รับความนิยมและมีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ทำให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายและแนวทางในการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมกับผู้มีเงินได้ บทความนี้จะอธิบายถึงวิธีการคิดภาษีคริปโตในประเทศไทยอย่างละเอียด
ประเภทของเงินได้จากคริปโทที่ต้องเสียภาษี
ตามประมวลรัษฎากรและพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ได้กำหนดเงินได้จากคริปโทที่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้:
- กำไรจากการขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล
- เงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากการถือครองคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล
- รายได้จากการขุดคริปโทเคอร์เรนซี
- รายได้จากการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี เช่น ค่าธรรมเนียมนายหน้า
วิธีการคำนวณภาษีคริปโท
กำไรจากการขายหรือแลกเปลี่ยน
- คำนวณกำไรโดยนำราคาขายหรือมูลค่าการแลกเปลี่ยน หักด้วยต้นทุน
- สามารถเลือกวิธีคำนวณต้นทุนได้ 2 วิธี คือ วิธีเข้าก่อน-ออกก่อน (FIFO) หรือวิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost)
- ต้องใช้วิธีเดียวกันตลอดปีภาษี แต่สามารถเปลี่ยนวิธีได้ในปีถัดไป
ตัวอย่าง: นาย ก ซื้อ Bitcoin 1 เหรียญ ราคา 100,000 บาท และซื้อเพิ่มอีก 1 เหรียญ ราคา 150,000 บาท ต่อมาขาย Bitcoin 1 เหรียญ ได้ราคา 200,000 บาท
วิธี FIFO: กำไร = 200,000 – 100,000 = 100,000 บาท
วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ย: ต้นทุนเฉลี่ย = (100,000 + 150,000) / 2 = 125,000 บาท กำไร = 200,000 – 125,000 = 75,000 บาท
เงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นใด
- นำมูลค่าของเงินปันผลหรือผลประโยชน์ที่ได้รับมาคำนวณภาษีทั้งจำนวน
รายได้จากการขุด
- นำมูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซีที่ขุดได้มาคำนวณภาษี โดยใช้ราคาตลาด ณ วันที่ได้รับ
- สามารถหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้
รายได้จากการให้บริการ
- นำรายได้จากการให้บริการมาคำนวณภาษีทั้งจำนวน
- สามารถหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้
อัตราภาษี
เงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซีต้องนำไปรวมกับเงินได้ประเภทอื่นๆ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า ดังนี้:
- 0 – 150,000 บาท: ยกเว้นภาษี
- 150,001 – 300,000 บาท: 5%
- 300,001 – 500,000 บาท: 10%
- 500,001 – 750,000 บาท: 15%
- 750,001 – 1,000,000 บาท: 20%
- 1,000,001 – 2,000,000 บาท: 25%
- 2,000,001 – 5,000,000 บาท: 30%
- 5,000,001 บาทขึ้นไป: 35%
การยื่นแบบและชำระภาษี
- ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 สำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงาน หรือ ภ.ง.ด.91 สำหรับผู้มีเงินได้จากแหล่งอื่น
- ยื่นภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
- สามารถยื่นแบบและชำระภาษีผ่านระบบ e-Filing ของกรมสรรพากรได้
เอกสารที่ต้องเก็บไว้เป็นหลักฐาน
- ประวัติการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี
- หลักฐานการได้รับเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นใด
- บันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายจากการขุดหรือให้บริการ
- เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบแจ้งยอดจากศูนย์ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี (Exchange)
ข้อควรระวังและคำแนะนำ
การหักกลบผลขาดทุน
ผู้มีเงินได้สามารถนำผลขาดทุนจากการขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีมาหักกลบกับกำไรในปีเดียวกันได้ แต่ไม่สามารถยกยอดขาดทุนไปใช้ในปีถัดไปได้
การซื้อขายในหลาย Exchange
หากมีการซื้อขายในหลาย Exchange ต้องรวบรวมข้อมูลการซื้อขายทั้งหมดมาคำนวณภาษี ไม่ควรแยกคำนวณเป็นรายศูนย์ซื้อขาย
การเก็บบันทึกอย่างละเอียด
ควรเก็บบันทึกธุรกรรมทุกรายการอย่างละเอียด รวมถึงวันที่ ราคา และจำนวนเหรียญที่ซื้อขายหรือแลกเปลี่ยน เพื่อความสะดวกในการคำนวณภาษีและเป็นหลักฐานในกรณีที่ถูกตรวจสอบ
การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
เนื่องจากกฎหมายและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับภาษีคริปโทมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง
การวางแผนภาษี
ควรวางแผนภาษีล่วงหน้า เช่น การเลือกจังหวะเวลาในการขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีเพื่อกระจายรายได้ให้เหมาะสม หรือการบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษี
กรณีศึกษาการคำนวณภาษีคริปโท
เพื่อให้เข้าใจวิธีการคำนวณภาษีคริปโทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูกรณีศึกษาต่อไปนี้:
กรณีศึกษาที่ 1: การซื้อขาย Bitcoin
นาย ก ซื้อ Bitcoin ในปี 2567 ดังนี้:
- 1 มกราคม 2567: ซื้อ 1 BTC ราคา 500,000 บาท
- 1 มีนาคม 2567: ซื้อ 0.5 BTC ราคา 300,000 บาท
- 1 มิถุนายน 2567: ขาย 1 BTC ราคา 800,000 บาท
วิธีคำนวณแบบ FIFO:
- ต้นทุน = 500,000 บาท (ใช้ต้นทุนของการซื้อครั้งแรก)
- กำไร = 800,000 – 500,000 = 300,000 บาท
วิธีคำนวณแบบต้นทุนถัวเฉลี่ย:
- ต้นทุนเฉลี่ย = (500,000 + 300,000) / 1.5 BTC = 533,333.33 บาท/BTC
- กำไร = 800,000 – 533,333.33 = 266,666.67 บาท
กรณีศึกษาที่ 2: การได้รับเงินปันผลจาก Staking
นาง ข ทำ Staking Ethereum (ETH) และได้รับผลตอบแทนในปี 2567 ดังนี้:
- 1 กุมภาพันธ์ 2567: ได้รับ 0.1 ETH (มูลค่า ณ วันที่ได้รับ 5,000 บาท)
- 1 สิงหาคม 2567: ได้รับ 0.15 ETH (มูลค่า ณ วันที่ได้รับ 8,000 บาท)
การคำนวณภาษี:
- เงินได้จาก Staking = 5,000 + 8,000 = 13,000 บาท
- นำไปรวมกับเงินได้ประเภทอื่นเพื่อคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า
กรณีศึกษาที่ 3: การขุด Cryptocurrency
นาย ค ขุด Litecoin (LTC) ในปี 2567 และมีรายได้ค่าใช้จ่ายดังนี้:
- ขุดได้ทั้งหมด 50 LTC (มูลค่ารวม ณ วันที่ขุดได้ 250,000 บาท)
- ค่าไฟฟ้าและค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ 100,000 บาท
การคำนวณภาษี:
- เงินได้จากการขุด = 250,000 บาท
- หักค่าใช้จ่าย = 100,000 บาท
- เงินได้สุทธิ = 250,000 – 100,000 = 150,000 บาท
- นำไปรวมกับเงินได้ประเภทอื่นเพื่อคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า
ความท้าทายในการจัดเก็บภาษีคริปโท
แม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายและแนวทางในการจัดเก็บภาษีคริปโท แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการ ดังนี้:
ความผันผวนของราคา
ราคาของคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ทำให้การประเมินมูลค่าที่แท้จริงเพื่อคำนวณภาษีเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในกรณีที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างคริปโทเคอร์เรนซีด้วยกันเอง
การติดตามธุรกรรม
ธุรกรรมคริปโทส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์และอาจกระจายอยู่ในหลาย Exchange ทำให้การติดตามและตรวจสอบธุรกรรมทั้งหมดเป็นไปได้ยาก
การระบุตัวตนของผู้ทำธุรกรรม
ระบบของคริปโทเคอร์เรนซีบางประเภทมีความเป็นส่วนตัวสูง ทำให้ยากต่อการระบุตัวตนของผู้ทำธุรกรรม ซึ่งอาจนำไปสู่การหลีกเลี่ยงภาษีได้
การกำหนดถิ่นที่อยู่ทางภาษี
เนื่องจากคริปโทเคอร์เรนซีสามารถทำธุรกรรมข้ามประเทศได้อย่างง่ายดาย จึงอาจเกิดปัญหาในการกำหนดว่าผู้เสียภาษีควรเสียภาษีในประเทศใด
การปรับตัวของกฎหมายและระบบภาษี
เทคโนโลยีคริปโทมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้กฎหมายและระบบภาษีต้องปรับตัวตามให้ทัน ซึ่งอาจทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายในบางช่วงเวลา
แนวโน้มการจัดเก็บภาษีคริปโทในอนาคต
จากความท้าทายที่กล่าวมา คาดว่าในอนาคตจะมีการพัฒนาระบบและแนวทางการจัดเก็บภาษีคริปโทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้:
การใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการติดตามธุรกรรม
อาจมีการพัฒนาระบบที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการติดตามและตรวจสอบธุรกรรมคริปโทแบบเรียลไทม์ ทำให้การจัดเก็บภาษีมีความแม่นยำและโปร่งใสมากขึ้น
ความร่วมมือระหว่างประเทศ
คาดว่าจะมีความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมคริปโท เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีและการฟอกเงินข้ามประเทศ
การพัฒนาระบบการรายงานอัตโนมัติ
อาจมีการพัฒนาระบบที่ให้ Exchange และผู้ให้บริการคริปโทต่างๆ รายงานข้อมูลธุรกรรมของผู้ใช้บริการไปยังหน่วยงานจัดเก็บภาษีโดยอัตโนมัติ
การปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมนวัตกรรมใหม่
คาดว่าจะมีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆ ให้ครอบคลุมนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคริปโท เช่น DeFi (Decentralized Finance) หรือ NFTs (Non-Fungible Tokens)
การให้ความรู้แก่ประชาชน
รัฐบาลอาจเพิ่มการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับภาษีคริปโท เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎหมายและลดการหลีกเลี่ยงภาษีโดยไม่ตั้งใจ
สรุป
การคำนวณและชำระภาษีคริปโทในประเทศไทยอาจดูซับซ้อน แต่หากเข้าใจหลักการและวิธีการคำนวณที่ถูกต้อง ก็จะสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ผู้มีเงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซีควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เก็บบันทึกธุรกรรมอย่างเป็นระบบ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อมีข้อสงสัย
ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ควรพัฒนาระบบและกฎหมายให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีคริปโท เพื่อให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลระหว่างการจัดเก็บภาษีและการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน
ท้ายที่สุด การเสียภาษีอย่างถูกต้องไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีควรตระหนักถึงความสำคัญของการเสียภาษีและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับอุตสาหกรรมคริปโทและส่งเสริมการยอมรับเทคโนโลยีนี้ในวงกว้างต่อไป