คริปโตเคอเรนซี่ (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล เป็นรูปแบบของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการทำงาน โดยไม่ต้องพึ่งพาธนาคารกลางหรือรัฐบาลใดๆ ในการควบคุม ปัจจุบันมีคริปโตเคอเรนซี่มากกว่า 10,000 สกุล แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันไป ประเภทคริปโตเคอเรนซี่ คริปโตเคอเรนซี่สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะการใช้งานและเทคโนโลยีที่ใช้ ดังนี้: สกุลเงินดิจิทัลทั่วไป: เช่น Bitcoin และ Litecoin ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นระบบการชำระเงินแบบกระจายศูนย์ แพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ: เช่น Ethereum และ Solana ที่รองรับการสร้างและการทำงานของแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApps) Stablecoins: เช่น Tether และ USD Coin ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา Utility Tokens: ใช้งานในระบบนิเวศเฉพาะ เช่น Filecoin สำหรับการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ Security Tokens: เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ทางการเงินในโลกจริง เช่น หุ้นหรือพันธบัตร Governance Tokens: ใช้ในการมีส่วนร่วมตัดสินใจในโครงการคริปโต เช่น Uniswap (UNI) Non-Fungible Tokens (NFTs): โทเค็นที่มีลักษณะเฉพาะตัว ใช้แสดงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัล [อ่านเนื้อหา]
Category Archives: Articles
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “คริปโต” เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการทำงาน โดยไม่มีธนาคารกลางหรือรัฐบาลใดควบคุม คริปโตได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และกลายเป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนและการทำธุรกรรมทางการเงิน ประวัติความเป็นมาของคริปโต แนวคิดเรื่องเงินดิจิทัลเริ่มต้นขึ้นในปี 1983 โดย David Chaum นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ชาวอเมริกันได้นำเสนอแนวคิด “ecash” ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แบบไม่ระบุตัวตน ต่อมาในปี 2008 บุคคลปริศนาที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ได้เผยแพร่เอกสารที่อธิบายแนวคิดของ Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลางควบคุม และในปี 2009 Bitcoin ก็ถูกสร้างขึ้นเป็นคริปโตเคอร์เรนซีสกุลแรกของโลก หลังจากนั้น คริปโตสกุลอื่นๆ ก็เริ่มถูกพัฒนาตามมา เช่น Litecoin, Ethereum, Ripple ฯลฯ ปัจจุบันมีคริปโตมากกว่า 9,000 สกุล แต่ที่ได้รับความนิยมและมีมูลค่าตลาดสูงสุดยังคงเป็น Bitcoin และ Ethereum คริปโตทำงานอย่างไร คริปโตใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในการบันทึกธุรกรรมทั้งหมด โดยบล็อกเชนคือฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่บันทึกประวัติการทำธุรกรรมทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น ข้อมูลจะถูกเก็บในรูปแบบบล็อก และเชื่อมต่อกันเป็นห่วงโซ่ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลย้อนหลังได้ การทำธุรกรรมคริปโตจะถูกตรวจสอบและยืนยันโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือตัวกลางใดๆ [อ่านเนื้อหา]