Token ไม่มีบล็อกเชนเป็นของตัวเอง แต่ถูกสร้างและทำงานอยู่บนบล็อกเชนที่มีอยู่แล้ว เช่น Ethereum, BNB Chain หรือ Solana ซึ่งต่างจากเหรียญคริปโตที่มีบล็อกเชนเป็นของตัวเอง
เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย
เหรียญคริปโต (Cryptocurrency)
- เปรียบเสมือนประเทศที่มีระบบการเงินและสกุลเงินเป็นของตัวเอง
- มีโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และการบริหารจัดการเป็นของตนเอง
- ตัวอย่างเช่น Bitcoin, Ethereum, Solana
โทเคน (Token)
- เปรียบเสมือนบริษัทที่ดำเนินกิจการในประเทศนั้นๆ
- ใช้โครงสร้างพื้นฐานและปฏิบัติตามกฎของประเทศที่ตั้งอยู่
- ตัวอย่างเช่น USDT บน Ethereum, CAKE บน BNB Chain
วิธีการทำงานของ Token บนบล็อกเชน
1. การสร้าง Token
- ใช้สมาร์ทคอนแทรคต์ (Smart Contract) เป็นตัวกำหนดกฎและคุณสมบัติ
- ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในสกุลเงินของบล็อกเชนหลัก
- ปฏิบัติตามมาตรฐานของแต่ละบล็อกเชน เช่น ERC-20 บน Ethereum
2. การทำธุรกรรม
- ทุกธุรกรรมถูกบันทึกบนบล็อกเชนหลัก
- ค่าธรรมเนียมจ่ายในสกุลเงินของบล็อกเชนหลัก
- ได้รับการตรวจสอบและยืนยันโดยเครือข่ายของบล็อกเชนหลัก
3. การจัดเก็บข้อมูล
- ข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บในบล็อกเชนหลัก
- ใช้พื้นที่และทรัพยากรของบล็อกเชนหลัก
- มีความปลอดภัยตามมาตรฐานของบล็อกเชนหลัก
ข้อดีของการไม่มีบล็อกเชนเป็นของตัวเอง
1. ประหยัดทรัพยากร
- ไม่ต้องลงทุนสร้างและดูแลบล็อกเชนใหม่
- ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว
- ลดต้นทุนในการพัฒนาและบำรุงรักษา
2. ความปลอดภัย
- ได้รับประโยชน์จากความปลอดภัยของบล็อกเชนหลัก
- มีชุมชนผู้ตรวจสอบขนาดใหญ่
- ได้รับการอัปเดตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
3. ความรวดเร็วในการพัฒนา
- สามารถสร้างและเปิดตัวได้เร็ว
- มีเครื่องมือและมาตรฐานพร้อมใช้งาน
- เข้าถึงผู้ใช้งานที่มีอยู่แล้ว
ข้อจำกัดของการไม่มีบล็อกเชนเป็นของตัวเอง
1. การพึ่งพาบล็อกเชนหลัก
- ต้องปฏิบัติตามกฎและข้อจำกัดของบล็อกเชนหลัก
- อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาของบล็อกเชนหลัก
- ค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่กับบล็อกเชนหลัก
2. การแข่งขันสูง
- พื้นที่บนบล็อกเชนมีจำกัด
- แข่งขันกับโทเคนอื่นๆ จำนวนมาก
- ต้องสร้างความแตกต่างเพื่อดึงดูดผู้ใช้
3. ข้อจำกัดทางเทคนิค
- ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน
- ต้องทำงานภายใต้ข้อจำกัดของบล็อกเชนหลัก
- อาจมีปัญหาด้านความเร็วและการขยายตัว
ตัวอย่างการใช้งานจริง
1. Stablecoin บน Ethereum
- USDT, USDC ใช้มาตรฐาน ERC-20
- ทำธุรกรรมโดยจ่ายค่า Gas ด้วย ETH
- ได้รับความนิยมในการซื้อขายและโอนเงิน
2. DeFi Token
- Uniswap (UNI) ทำงานบน Ethereum
- PancakeSwap (CAKE) ทำงานบน BNB Chain
- ให้สิทธิในการโหวตและรับส่วนแบ่งรายได้
3. NFT บนบล็อกเชนต่างๆ
- CryptoPunks บน Ethereum
- Azuki บน Ethereum
- DeGods บน Solana
ปัจจัยในการเลือกบล็อกเชนสำหรับ Token
1. ค่าธรรมเนียม
- ค่า Gas fee ในการทำธุรกรรม
- ค่าใช้จ่ายในการ Deploy สมาร์ทคอนแทรคต์
- ความคุ้มค่าในระยะยาว
2. ชุมชนและสภาพคล่อง
- จำนวนผู้ใช้งานที่มีอยู่
- ความง่ายในการซื้อขาย
- การสนับสนุนจากชุมชน
3. ความสามารถทางเทคนิค
- ความเร็วในการทำธุรกรรม
- ความสามารถในการขยายตัว
- เครื่องมือและไลบรารีที่มีให้ใช้
อนาคตของ Token บนบล็อกเชน
1. แนวโน้มการพัฒนา
- การเชื่อมต่อระหว่างบล็อกเชน (Cross-chain)
- การพัฒนามาตรฐานใหม่ๆ
- การเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย
2. โอกาสทางธุรกิจ
- การสร้างระบบนิเวศใหม่ๆ
- การระดมทุนรูปแบบใหม่
- การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ
3. ความท้าทาย
- การกำกับดูแลและกฎระเบียบ
- การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
- ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
สรุป
Token ไม่จำเป็นต้องมีบล็อกเชนเป็นของตัวเอง การทำงานบนบล็อกเชนที่มีอยู่แล้วมีข้อดีมากมายทั้งด้านความปลอดภัย ต้นทุน และความรวดเร็วในการพัฒนา แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ แต่ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับโครงการส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เข้าใจหลักการนี้จะช่วยให้นักพัฒนาและนักลงทุนสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับ Token ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น