ภาษีคริปโต คิดยังไง วิธีคิดภาษีคริปโตในไทย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คริปโทเคอร์เรนซีหรือสกุลเงินดิจิทัลได้รับความนิยมและมีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ทำให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายและแนวทางในการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมกับผู้มีเงินได้ บทความนี้จะอธิบายถึงวิธีการคิดภาษีคริปโตในประเทศไทยอย่างละเอียด

ภาษีคริปโต คิดยังไง วิธีคิดภาษีคริปโตในไทย
ภาษีคริปโต คิดยังไง วิธีคิดภาษีคริปโตในไทย

Table of Contents

ประเภทของเงินได้จากคริปโทที่ต้องเสียภาษี

ตามประมวลรัษฎากรและพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ได้กำหนดเงินได้จากคริปโทที่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้:

  1. กำไรจากการขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล
  2. เงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากการถือครองคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล
  3. รายได้จากการขุดคริปโทเคอร์เรนซี
  4. รายได้จากการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี เช่น ค่าธรรมเนียมนายหน้า

วิธีการคำนวณภาษีคริปโท

กำไรจากการขายหรือแลกเปลี่ยน

  • คำนวณกำไรโดยนำราคาขายหรือมูลค่าการแลกเปลี่ยน หักด้วยต้นทุน
  • สามารถเลือกวิธีคำนวณต้นทุนได้ 2 วิธี คือ วิธีเข้าก่อน-ออกก่อน (FIFO) หรือวิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost)
  • ต้องใช้วิธีเดียวกันตลอดปีภาษี แต่สามารถเปลี่ยนวิธีได้ในปีถัดไป
การเสียภาษีคริปโตเคอเรนซี่
การเสียภาษีคริปโตเคอเรนซี่

ตัวอย่าง: นาย ก ซื้อ Bitcoin 1 เหรียญ ราคา 100,000 บาท และซื้อเพิ่มอีก 1 เหรียญ ราคา 150,000 บาท ต่อมาขาย Bitcoin 1 เหรียญ ได้ราคา 200,000 บาท

วิธี FIFO: กำไร = 200,000 – 100,000 = 100,000 บาท

วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ย: ต้นทุนเฉลี่ย = (100,000 + 150,000) / 2 = 125,000 บาท กำไร = 200,000 – 125,000 = 75,000 บาท

เงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นใด

  • นำมูลค่าของเงินปันผลหรือผลประโยชน์ที่ได้รับมาคำนวณภาษีทั้งจำนวน

รายได้จากการขุด

  • นำมูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซีที่ขุดได้มาคำนวณภาษี โดยใช้ราคาตลาด ณ วันที่ได้รับ
  • สามารถหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้

รายได้จากการให้บริการ

  • นำรายได้จากการให้บริการมาคำนวณภาษีทั้งจำนวน
  • สามารถหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้

อัตราภาษี

เงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซีต้องนำไปรวมกับเงินได้ประเภทอื่นๆ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า ดังนี้:

Cryptocurrency
Cryptocurrency
  • 0 – 150,000 บาท: ยกเว้นภาษี
  • 150,001 – 300,000 บาท: 5%
  • 300,001 – 500,000 บาท: 10%
  • 500,001 – 750,000 บาท: 15%
  • 750,001 – 1,000,000 บาท: 20%
  • 1,000,001 – 2,000,000 บาท: 25%
  • 2,000,001 – 5,000,000 บาท: 30%
  • 5,000,001 บาทขึ้นไป: 35%

การยื่นแบบและชำระภาษี

  • ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 สำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงาน หรือ ภ.ง.ด.91 สำหรับผู้มีเงินได้จากแหล่งอื่น
  • ยื่นภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
  • สามารถยื่นแบบและชำระภาษีผ่านระบบ e-Filing ของกรมสรรพากรได้

เอกสารที่ต้องเก็บไว้เป็นหลักฐาน

  • ประวัติการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี
  • หลักฐานการได้รับเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นใด
  • บันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายจากการขุดหรือให้บริการ
  • เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบแจ้งยอดจากศูนย์ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี (Exchange)

ข้อควรระวังและคำแนะนำ

วิธีการคำนวณภาษีคริปโต
วิธีการคำนวณภาษีคริปโต

การหักกลบผลขาดทุน

ผู้มีเงินได้สามารถนำผลขาดทุนจากการขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีมาหักกลบกับกำไรในปีเดียวกันได้ แต่ไม่สามารถยกยอดขาดทุนไปใช้ในปีถัดไปได้

การซื้อขายในหลาย Exchange

หากมีการซื้อขายในหลาย Exchange ต้องรวบรวมข้อมูลการซื้อขายทั้งหมดมาคำนวณภาษี ไม่ควรแยกคำนวณเป็นรายศูนย์ซื้อขาย

การเก็บบันทึกอย่างละเอียด

ควรเก็บบันทึกธุรกรรมทุกรายการอย่างละเอียด รวมถึงวันที่ ราคา และจำนวนเหรียญที่ซื้อขายหรือแลกเปลี่ยน เพื่อความสะดวกในการคำนวณภาษีและเป็นหลักฐานในกรณีที่ถูกตรวจสอบ

การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

เนื่องจากกฎหมายและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับภาษีคริปโทมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

การวางแผนภาษี

ควรวางแผนภาษีล่วงหน้า เช่น การเลือกจังหวะเวลาในการขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีเพื่อกระจายรายได้ให้เหมาะสม หรือการบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษี

กรณีศึกษาการคำนวณภาษีคริปโท

เพื่อให้เข้าใจวิธีการคำนวณภาษีคริปโทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูกรณีศึกษาต่อไปนี้:

กรณีศึกษาที่ 1: การซื้อขาย Bitcoin

นาย ก ซื้อ Bitcoin ในปี 2567 ดังนี้:

  • 1 มกราคม 2567: ซื้อ 1 BTC ราคา 500,000 บาท
  • 1 มีนาคม 2567: ซื้อ 0.5 BTC ราคา 300,000 บาท
  • 1 มิถุนายน 2567: ขาย 1 BTC ราคา 800,000 บาท

วิธีคำนวณแบบ FIFO:

  • ต้นทุน = 500,000 บาท (ใช้ต้นทุนของการซื้อครั้งแรก)
  • กำไร = 800,000 – 500,000 = 300,000 บาท

วิธีคำนวณแบบต้นทุนถัวเฉลี่ย:

  • ต้นทุนเฉลี่ย = (500,000 + 300,000) / 1.5 BTC = 533,333.33 บาท/BTC
  • กำไร = 800,000 – 533,333.33 = 266,666.67 บาท

กรณีศึกษาที่ 2: การได้รับเงินปันผลจาก Staking

นาง ข ทำ Staking Ethereum (ETH) และได้รับผลตอบแทนในปี 2567 ดังนี้:

  • 1 กุมภาพันธ์ 2567: ได้รับ 0.1 ETH (มูลค่า ณ วันที่ได้รับ 5,000 บาท)
  • 1 สิงหาคม 2567: ได้รับ 0.15 ETH (มูลค่า ณ วันที่ได้รับ 8,000 บาท)

การคำนวณภาษี:

  • เงินได้จาก Staking = 5,000 + 8,000 = 13,000 บาท
  • นำไปรวมกับเงินได้ประเภทอื่นเพื่อคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า

กรณีศึกษาที่ 3: การขุด Cryptocurrency

นาย ค ขุด Litecoin (LTC) ในปี 2567 และมีรายได้ค่าใช้จ่ายดังนี้:

  • ขุดได้ทั้งหมด 50 LTC (มูลค่ารวม ณ วันที่ขุดได้ 250,000 บาท)
  • ค่าไฟฟ้าและค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ 100,000 บาท

การคำนวณภาษี:

  • เงินได้จากการขุด = 250,000 บาท
  • หักค่าใช้จ่าย = 100,000 บาท
  • เงินได้สุทธิ = 250,000 – 100,000 = 150,000 บาท
  • นำไปรวมกับเงินได้ประเภทอื่นเพื่อคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า

ความท้าทายในการจัดเก็บภาษีคริปโท

แม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายและแนวทางในการจัดเก็บภาษีคริปโท แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการ ดังนี้:

ภาษีคริปโต
ภาษีคริปโต

ความผันผวนของราคา

ราคาของคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ทำให้การประเมินมูลค่าที่แท้จริงเพื่อคำนวณภาษีเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในกรณีที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างคริปโทเคอร์เรนซีด้วยกันเอง

การติดตามธุรกรรม

ธุรกรรมคริปโทส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์และอาจกระจายอยู่ในหลาย Exchange ทำให้การติดตามและตรวจสอบธุรกรรมทั้งหมดเป็นไปได้ยาก

การระบุตัวตนของผู้ทำธุรกรรม

ระบบของคริปโทเคอร์เรนซีบางประเภทมีความเป็นส่วนตัวสูง ทำให้ยากต่อการระบุตัวตนของผู้ทำธุรกรรม ซึ่งอาจนำไปสู่การหลีกเลี่ยงภาษีได้

การกำหนดถิ่นที่อยู่ทางภาษี

เนื่องจากคริปโทเคอร์เรนซีสามารถทำธุรกรรมข้ามประเทศได้อย่างง่ายดาย จึงอาจเกิดปัญหาในการกำหนดว่าผู้เสียภาษีควรเสียภาษีในประเทศใด

การปรับตัวของกฎหมายและระบบภาษี

เทคโนโลยีคริปโทมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้กฎหมายและระบบภาษีต้องปรับตัวตามให้ทัน ซึ่งอาจทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายในบางช่วงเวลา

แนวโน้มการจัดเก็บภาษีคริปโทในอนาคต

จากความท้าทายที่กล่าวมา คาดว่าในอนาคตจะมีการพัฒนาระบบและแนวทางการจัดเก็บภาษีคริปโทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้:

การใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการติดตามธุรกรรม

อาจมีการพัฒนาระบบที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการติดตามและตรวจสอบธุรกรรมคริปโทแบบเรียลไทม์ ทำให้การจัดเก็บภาษีมีความแม่นยำและโปร่งใสมากขึ้น

ความร่วมมือระหว่างประเทศ

คาดว่าจะมีความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมคริปโท เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีและการฟอกเงินข้ามประเทศ

การพัฒนาระบบการรายงานอัตโนมัติ

อาจมีการพัฒนาระบบที่ให้ Exchange และผู้ให้บริการคริปโทต่างๆ รายงานข้อมูลธุรกรรมของผู้ใช้บริการไปยังหน่วยงานจัดเก็บภาษีโดยอัตโนมัติ

การปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมนวัตกรรมใหม่

คาดว่าจะมีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆ ให้ครอบคลุมนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคริปโท เช่น DeFi (Decentralized Finance) หรือ NFTs (Non-Fungible Tokens)

การให้ความรู้แก่ประชาชน

รัฐบาลอาจเพิ่มการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับภาษีคริปโท เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎหมายและลดการหลีกเลี่ยงภาษีโดยไม่ตั้งใจ

สรุป

การคำนวณและชำระภาษีคริปโทในประเทศไทยอาจดูซับซ้อน แต่หากเข้าใจหลักการและวิธีการคำนวณที่ถูกต้อง ก็จะสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ผู้มีเงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซีควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เก็บบันทึกธุรกรรมอย่างเป็นระบบ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อมีข้อสงสัย

ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ควรพัฒนาระบบและกฎหมายให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีคริปโท เพื่อให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลระหว่างการจัดเก็บภาษีและการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน

ท้ายที่สุด การเสียภาษีอย่างถูกต้องไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีควรตระหนักถึงความสำคัญของการเสียภาษีและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับอุตสาหกรรมคริปโทและส่งเสริมการยอมรับเทคโนโลยีนี้ในวงกว้างต่อไป